เจ็บซี่โครงขวา ปวดลิ้นปี่ขวา อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณกำลังเสี่ยงเป็นภาวะไขมันพอกตับ !
ภาวะไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease) เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่หลายคนอาจไม่ทราบว่าตนเองกำลังเผชิญอยู่ แต่กลับเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถนำไปสู่โรคร้ายแรง เช่น ตับแข็ง (Liver Cirrhosis) หรือมะเร็งตับ (Liver Cancer) ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะไขมันพอกตับจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง มาเจาะลึกถึงสาเหตุ อาการ การรักษา และวิธีป้องกันไปพร้อมกัน เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภาวะไขมันพอกตับคืออะไร ?
ภาวะไขมันพอกตับ คือ ภาวะที่ไขมันสะสมอยู่ในเนื้อตับในปริมาณที่มากเกินไป โดยปกติแล้ว ตับเป็นอวัยวะสำคัญในการช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย แต่เมื่อร่างกายรับไขมันหรือสารอาหารบางชนิดมากเกินไป ไขมันที่ไม่สามารถนำไปใช้ได้จะเริ่มสะสมอยู่ในตับ ทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับในที่สุด
ภาวะไขมันพอกตับแบ่งออกเป็น 2 สาเหตุหลัก
- ไขมันพอกตับจากการดื่มแอลกอฮอล์ (Alcoholic Fatty Liver Disease) เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ทำให้ตับไม่สามารถเผาผลาญแอลกอฮอล์ได้เต็มที่ และทำให้ไขมันสะสมในตับ
- ไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease – NAFLD) เกิดจากการบริโภคอาหารมัน อาหารทอด คาร์โบไฮเดรต หรืออาหารหวานในปริมาณมากเกินไป ซึ่งทำให้ร่างกายสะสมไขมันในตับ
ปัจจัยเสี่ยงของภาวะไขมันพอกตับ
มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่สามารถนำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับได้ โดยปัจจัยเหล่านี้รวมถึง
- ภาวะอ้วนและน้ำหนักเกิน ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าปกติมีโอกาสในการเกิดไขมันสะสมในตับสูง
- เบาหวานและไขมันในเลือดสูง ผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ที่มีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนี้มากกว่าคนทั่วไป
- ภาวะตับอักเสบหรือการใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์หรือยาลดคอเลสเตอรอล อาจทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับได้เช่นกัน
วิธีสังเกตว่าคุณเสี่ยงเป็นภาวะไขมันพอกตับหรือไม่
การสังเกตอาการเริ่มต้นสามารถช่วยให้คุณป้องกันภาวะไขมันพอกตับได้ โดยคุณสามารถตรวจสอบความเสี่ยงของตัวเองได้จากข้อมูลดังนี้
- ผู้ชายที่มีรอบเอวมากกว่า 40 นิ้ว
- ผู้หญิงที่มีรอบเอวมากกว่า 35 นิ้ว
- น้ำตาลในเลือดสูงเกิน 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ไขมันไตรกลีเซอไรด์สูงเกิน 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ความดันโลหิตสูง
แม้ภาวะไขมันพอกตับมักจะไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก ๆ แต่บางคนอาจรู้สึกถึงอาการท้องอืด เจ็บใต้ชายโครงขวา หรือแน่นท้อง การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจพบความผิดปกติในตับตั้งแต่เนิ่น ๆ
ระยะความรุนแรงของภาวะไขมันพอกตับ
ภาวะไขมันพอกตับแบ่งออกเป็น 4 ระยะตามระดับความรุนแรงของการสะสมไขมันในตับ ได้แก่
- ระยะแรก เป็นระยะที่ไขมันสะสมในตับแต่ยังไม่มีการอักเสบใด ๆ
- ระยะที่สอง เริ่มมีการอักเสบของตับ และหากปล่อยให้การอักเสบดำเนินไปโดยไม่ควบคุม อาจทำให้ตับเริ่มเสียหายมากขึ้น
- ระยะที่สาม การอักเสบรุนแรงจนเกิดพังผืดในตับ เซลล์ตับจะถูกทำลายและทำให้การทำงานของตับลดลง
- ระยะที่สี่ ตับถูกทำลายไปมากจนตับแข็ง ซึ่งเป็นระยะที่ตับไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ และอาจนำไปสู่มะเร็งตับได้
อาการของภาวะไขมันพอกตับ
- ท้องอืดและแน่นท้อง เนื่องจากตับที่มีไขมันสะสมเริ่มทำงานได้ไม่เต็มที่
- เจ็บซี่โครงขวา หรือกดแล้วเจ็บ เกิดจากการขยายตัวของตับและกดทับอวัยวะใกล้เคียง
- อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย เนื่องจากร่างกายไม่สามารถเผาผลาญพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- น้ำหนักลดลงโดยไม่มีสาเหตุ อาการนี้เป็นสัญญาณว่าตับอาจเริ่มมีปัญหาหนักขึ้น
- ตัวเหลือง ตาเหลือง เป็นสัญญาณของภาวะดีซ่าน (Jaundice) ซึ่งเกิดจากการทำงานของตับที่ผิดปกติ
ความเสี่ยงที่อาจเกิดจากภาวะไขมันพอกตับ
หากเริ่มรู้สึกปวดชายโครงขวา หรือปวดลิ้นปี่ขวา ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะไขมันพอกตับ และหากไม่รีบเข้ารับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นได้ เช่น
- ตับอักเสบเรื้อรัง (NASH – Non-Alcoholic Steatohepatitis) เป็นภาวะที่เกิดการอักเสบของตับจากการสะสมของไขมันในระยะยาว ซึ่งสามารถพัฒนาไปสู่ตับแข็งได้
- ตับแข็ง (Liver Cirrhosis) เป็นภาวะที่เซลล์ตับถูกทำลายและแทนที่ด้วยพังผืด ทำให้ตับสูญเสียความสามารถในการทำงานอย่างถาวร
- มะเร็งตับ (Liver Cancer) ภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อเซลล์ตับถูกทำลายอย่างหนัก ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีภาวะตับแข็ง
การรักษาอาการเจ็บใต้ชายโครงขวา ปวดลิ้นปี่ขวาจากภาวะไขมันพอกตับ
การรักษาภาวะไขมันพอกตับมักเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและพฤติกรรมการบริโภค โดยมีแนวทางการรักษาดังนี้
- การควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง คาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และน้ำตาล เน้นการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยและโปรตีน เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันและช่วยให้ระบบการทำงานของตับดีขึ้น
- การควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนักอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าลดน้ำหนักให้ได้อย่างน้อย 7-10% ของน้ำหนักปัจจุบัน
- การหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หากเป็นไปได้ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดการอักเสบในตับ
- การใช้ยาและการติดตามการรักษา หากแพทย์สั่งยา ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดและเข้ารับการตรวจสุขภาพตามที่แพทย์กำหนด
ภาวะไขมันพอกตับเป็นภัยเงียบที่สามารถนำไปสู่โรคร้ายแรง เช่น ตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้ ดังนั้น การดูแลสุขภาพโดยการรับประทานอาหารที่ดี ออกกำลังกาย และควบคุมน้ำหนักอย่างเหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันภาวะนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เจ็บซี่โครงขวา หรือพบสัญญาณอันตราย ให้ลิฟพลัส (Livplus) เป็นผู้ช่วยดูแลสุขภาพที่คุณวางใจ
เพราะสุขภาพตับเป็นเรื่องสำคัญ อย่าลืมหมั่นดูแลด้วย ลิฟพลัส (Livplus) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงดูแลตับที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากล หากคุณรู้สึกปวดชายโครงขวา แน่นท้อง ท้องอืด อ่อนเพลีย และรับประทานอาหารได้น้อย ปรึกษาฟรีได้เลยวันนี้ โทร. 098-264-2464 หรือทักแชตเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Livplusthailand หรือ Line OA : @livplusthailand
ข้อมูลอ้างอิง :
- ไขมันพอกตับ ภัยเงียบที่ไม่รู้ตัว. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2568 จาก https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/july-2015/fatty-liver-silent-killer.
- อาหารกับไตรกลีเซอไรด์. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2568 จาก https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/186.