เมื่ออายุมากขึ้นอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย การทำงานหรือโครงสร้างของเนื้อเยื่อ ย่อมเสื่อมถอยลงไป ปัญหาสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่สามารถป้องกัน และดูแลได้
โดยปัญหาสุขภาพของผู้สูงอายุส่วนใหญ่ คือ ระบบย่อยอาหาร และระบบเผาผลาญ เนื่องจากอายุมากขึ้น น้ำดีจากตับที่ช่วยย่อยอาหารจะลดลง และเมตาบอลิซึมจะค่อยๆ เสื่อมลง เมื่อระบบย่อยอาหาร และระบบเผาผลาญพัง ร่างกายจะย่อยอาหารได้น้อยลง และไม่สามารถเผาผลาญสารอาหารที่รับประทานเข้าไป เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน หรือ ATP ได้ ทำให้ยังมีสารอาหารตกค้าง หมักหมมจนเกิดแก๊ส ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง และเกิดการสะสมเป็นไขมันตามส่วนต่างๆ ในร่างกาย
จุดที่มักจะเกิดการสะสมของไขมันในร่างกายมี 4 จุด
1. ช่องท้อง : การสะสมของไขมันบริเวณช่องท้องจะทำให้เกิดภาวะอ้วนลงพุง และหากมีไขมันสะสมมากเกินไป ไขมันจะเบียดอวัยวะภายในช่องท้อง ซึ่งอาจทำให้อวัยวะนั้นทำงานผิดปกติ และเกิดโรคร้ายตามมาได้
2. ใต้ผิวหนัง : การสะสมไขมันในส่วนนี้ มักพบตามบริเวณ หน้าท้อง เอว ก้น สะโพก ต้นแขน ต้นขา หรือที่รู้จักกันดีในนามเซลลูไลต์นั่นเอง
3. กล้ามเนื้อ : การสะสมของไขมันบริเวณกล้ามเนื้อ มักเจอในคนที่อ้วนมาก ๆ และมักเจอในคนที่เป็นโรคเบาหวาน
4. รอบอวัยวะภายใน : เป็นส่วนที่ค่อนข้างอันตรายอย่างมาก เพราะหากมีการสะสมของไขมันบริเวณช่องท้องมากๆ ไขมันก็มีโอกาสไปเบียด และไปพอกอวัยวะภายในอื่นๆ ได้ เช่น ตับ และเกิดเป็น “ไขมันพอกตับ”
“ไขมันพอกตับ” เป็นภัยเงียบที่ค่อนข้างอันตราย เนื่องจากในปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่มียาที่ใช้รักษาอย่างเฉพาะเจาะจง ทำได้แค่ดูแลตนเองเท่านั้น โดยปรับพฤติกรรมการทานอาหาร ช่วยได้เยอะ เพราะการรับประทานอาหารก็เป็นตัวเร่งความเสื่อมของร่างกายให้เกิดเร็วขึ้น หรือเกิดก่อนวัยอันควร เช่น คนที่ชอบสังสรรค์ ดื่มแอลกอฮอล์ ทานของทอด ของมัน ของหวาน ที่ตัวดีเลย ก่อให้เกิดไขมันสะสมในตับได้ง่าย โดยไขมันพอกตับในบางรายโชคดีอาจมีสัญญาณเตือน ทำให้ดูแลรักษาได้ทัน แต่ในบางรายไม่มีอาการหรือสัญญาณเตือน ทำให้เมื่อรู้ตัวอีกที ก็สายเกินแก้เสียแล้ว เพราะไขมันพอกตับ สามารถพัฒนาเป็น “ตับแข็ง” และร้ายแรงถึงขั้น “มะเร็งตับ” ได้
ลองสังเกตตัวเองดู หากมีภาวะท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง อย่างชะล่าใจ รีบดูแลตัวเองด่วน!
1.ทานอาหารชิ้นเล็กๆ เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน
2.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง มีรสเผ็ด หรืออาหารสำเร็จรูป
3.ไม่ทานอาหารในปริมาณที่มากเกินไป หากรู้สึกว่าหิวบ่อยควรแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กๆ หลายมื้อ แทนการกินอาหารมากๆ ในมื้อเดียว
4.เน้นทานโปรตีนเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ เพราะกล้ามเนื้อเป็นตัวช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้ดี
5.ควรดื่มน้ำ วันละ 8 แก้ว หรือ 2 ลิตร เพราะการดื่มน้ำ 500 ml. สามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้ถึง 30%
6.งดทานอาหารอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน
7.หากิจกรรมทำให้ไม่ให้เครียด หรือนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ดังนั้น เมื่ออายุมากขึ้นแล้วมีภาวะท้องอืด ท้องเฟ้อ อย่าชะล่าใจ ควรดูแลสุขภาพก่อนสายเกินแก้ เพื่อที่จะได้อยู่กับลูกหลาน และคนที่คุณรักไปนานๆ นะคะ ด้วยความห่วงใยจาก “ลิฟพลัส”
“ลิฟพลัส” มีสารสกัดธรรมชาติ ถึง 12 ชนิด เช่น อาร์ติโช๊ค แดนดิไลออน ขมิ้น โสมเกาหลี เป็นต้น กระตุ้นการสร้างน้ำดีในการช่วยย่อย ให้ตับและระบบทางเดินอาหารกลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ สนใจสอบถาม โทร : 098-264-2464 หรือ LINE : @livplusthailand หรือคลิก >> http://bit.ly/LINE-LIV_031
ข้อมูลอ้างอิง :
โรงพยาบาลบํารุงราษฎร์ : https://bit.ly/3f240jI
ชีวจิต : https://bit.ly/3ducdge
โรงพยาบาลบํารุงราษฎร์ : https://bit.ly/3qOCkBx
โรงพยาบาลรามคำแหง : https://bit.ly/3Saaz2c
wongnai : https://bit.ly/3QXrgfS
มหาวิทยาลัยมหิดล : https://bit.ly/3DBrBBY