You are currently viewing เจ็บชายโครงขวา แน่นท้อง สัญญาณอันตรายที่คุณควรรู้!

เจ็บชายโครงขวา แน่นท้อง สัญญาณอันตรายที่คุณควรรู้!

เจ็บชายโครงขวา แน่นท้อง อาการเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเสี่ยงเป็นภาวะไขมันพอกตับ!!

ภาวะไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease) เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่หลายคนอาจไม่ทราบว่าตนเองกำลังเผชิญอยู่ แต่กลับเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจนำไปสู่โรคร้ายแรง เช่น ตับแข็ง (Liver Cirrhosis) และ มะเร็งตับ (Liver Cancer) ดังนั้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะไขมันพอกตับจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกถึงสาเหตุ อาการ การรักษา และวิธีป้องกัน เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพของตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภาวะไขมันพอกตับคืออะไร?

ภาวะไขมันพอกตับ คือภาวะที่ไขมันสะสมอยู่ในเนื้อตับในปริมาณที่มากเกินไป โดยปกติแล้ว ตับเป็นอวัยวะสำคัญในการช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย แต่เมื่อร่างกายรับไขมันหรือสารอาหารบางชนิดมากเกินไป ไขมันที่ไม่สามารถนำไปใช้ได้จะเริ่มสะสมอยู่ในตับ ทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

ภาวะไขมันพอกตับแบ่งออกเป็น 2 สาเหตุหลัก

  1. ไขมันพอกตับจากการดื่มแอลกอฮอล์ (Alcoholic Fatty Liver Disease) เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ทำให้ตับไม่สามารถเผาผลาญแอลกอฮอล์ได้เต็มที่ และทำให้ไขมันสะสมในตับ
  2. ไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease – NAFLD) เกิดจากการบริโภคอาหารมัน อาหารทอด คาร์โบไฮเดรต หรืออาหารหวานในปริมาณมากเกินไป ซึ่งทำให้ร่างกายสะสมไขมันในตับ

ปัจจัยเสี่ยงของภาวะไขมันพอกตับ

มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่สามารถนำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับได้ โดยปัจจัยเหล่านี้รวมถึง:

  • ภาวะอ้วนและน้ำหนักเกิน ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าปกติมีโอกาสสูงในการเกิดไขมันสะสมในตับ
  • เบาหวานและไขมันในเลือดสูง ผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ที่มีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์สูงมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนี้มากกว่าคนทั่วไป
  • ภาวะตับอักเสบหรือการใช้ยาบางชนิด ยาบางประเภท เช่น สเตียรอยด์หรือยาลดคอเลสเตอรอล อาจทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับได้เช่นกัน

วิธีสังเกตว่าคุณเสี่ยงเป็นภาวะไขมันพอกตับหรือไม่?

การสังเกตอาการเริ่มต้นสามารถช่วยให้คุณป้องกันภาวะไขมันพอกตับได้ โดยคุณสามารถตรวจสอบความเสี่ยงของตัวเองได้จากข้อมูลดังนี้:

  • ผู้ชายที่มีรอบเอวมากกว่า 40 นิ้ว
  • ผู้หญิงที่มีรอบเอวมากกว่า 35 นิ้ว
  • น้ำตาลในเลือดสูงเกิน 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
  • ไขมันไตรกลีเซอไรด์สูงเกิน 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
  • ความดันโลหิตสูง

แม้ภาวะไขมันพอกตับจะมักไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก ๆ แต่บางคนอาจรู้สึกถึงอาการท้องอืด เจ็บชายโครงขวา หรือแน่นท้อง การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจพบความผิดปกติในตับตั้งแต่เนิ่น ๆ

ระยะความรุนแรงของภาวะไขมันพอกตับ

ภาวะไขมันพอกตับมีการดำเนินการแบ่งออกเป็น 4 ระยะตามระดับความรุนแรงของการสะสมไขมันในตับ:

  1. ระยะแรก: เป็นระยะที่ไขมันสะสมในตับแต่ยังไม่มีการอักเสบใด ๆ
  2. ระยะที่สอง: เริ่มมีการอักเสบของตับ และหากปล่อยให้การอักเสบดำเนินไปโดยไม่ควบคุม อาจทำให้ตับเริ่มเสียหายมากขึ้น
  3. ระยะที่สาม: การอักเสบรุนแรงจนเกิดพังผืดในตับ เซลล์ตับจะถูกทำลายและทำให้การทำงานของตับลดลง
  4. ระยะที่สี่: ตับถูกทำลายไปมากจนตับแข็ง ซึ่งเป็นระยะที่ตับไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ และอาจนำไปสู่มะเร็งตับได้

อาการของภาวะไขมันพอกตับ

แม้ว่าอาการของภาวะไขมันพอกตับมักไม่ชัดเจนในช่วงแรก ๆ แต่เมื่อภาวะนี้พัฒนาขึ้น คุณอาจเริ่มสังเกตเห็นอาการบางอย่าง เช่น:

  • ท้องอืดและแน่นท้อง เนื่องจากตับที่มีไขมันสะสมเริ่มทำงานได้ไม่เต็มที่
  • เจ็บชายโครงขวา อาการเจ็บที่ชายโครงขวาเกิดจากการขยายตัวของตับและกดทับอวัยวะใกล้เคียง
  • อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • น้ำหนักลดลงโดยไม่มีสาเหตุ อาการนี้เป็นสัญญาณว่าตับอาจเริ่มมีปัญหาหนักขึ้น
  • ตัวเหลือง ตาเหลือง เป็นสัญญาณของภาวะดีซ่าน (Jaundice) ซึ่งเกิดจากการทำงานของตับที่ผิดปกติ

ความเสี่ยงที่อาจเกิดจากภาวะไขมันพอกตับ

หากปล่อยให้ภาวะไขมันพอกตับดำเนินไปโดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะที่ร้ายแรงยิ่งขึ้น ได้แก่:

  1. ตับอักเสบเรื้อรัง (NASH – Non-Alcoholic Steatohepatitis) เป็นภาวะที่เกิดการอักเสบของตับจากการสะสมของไขมันในระยะยาว ซึ่งสามารถพัฒนาไปสู่ตับแข็งได้
  2. ตับแข็ง (Liver Cirrhosis) เป็นภาวะที่เซลล์ตับถูกทำลายและแทนที่ด้วยพังผืด ทำให้ตับสูญเสียความสามารถในการทำงานอย่างถาวร
  3. มะเร็งตับ (Liver Cancer) ภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อเซลล์ตับถูกทำลายอย่างหนัก ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีภาวะตับแข็ง

การรักษาภาวะไขมันพอกตับ

การรักษาภาวะไขมันพอกตับมักเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและพฤติกรรมการบริโภค โดยมีแนวทางการรักษาดังนี้:

  1. การควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง คาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และน้ำตาล เน้นการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยและโปรตีน เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช
  2. การออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันและช่วยให้ระบบการทำงานของตับดีขึ้น
  3. ควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนักอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าลดน้ำหนักให้ได้อย่างน้อย 7-10% ของน้ำหนักปัจจุบัน
  4. การหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หากเป็นไปได้ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดการอักเสบในตับ
  5. การใช้ยาและการติดตามการรักษา หากแพทย์สั่งยา ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดและเข้ารับการตรวจสุขภาพตามที่แพทย์กำหนด

การป้องกันภาวะไขมันพอกตับ

การป้องกันภาวะไขมันพอกตับสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น:

  • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงและน้ำตาลมากเกินไป
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกิน
  • ควบคุมน้ำหนักและไขมันในเลือด หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อติดตามระดับไขมันและน้ำตาลในเลือด
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ การลดหรือเลิกดื่มแอลกอฮอล์ช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะไขมันพอกตับได้อย่างมาก

ภาวะไขมันพอกตับเป็นภัยเงียบที่สามารถนำไปสู่โรคร้ายแรงเช่นตับแข็งและมะเร็งตับ การดูแลสุขภาพโดยการรับประทานอาหารที่ดี ออกกำลังกาย และควบคุมน้ำหนักอย่างเหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันภาวะนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สุขภาพตับเป็นเรื่องสำคัญจึงควรหมั่นดูแลด้วย ลิฟพลัสผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงดูแลตับ
ผ่านการรับรองมาตรฐานสากล หากคุณพี่แน่นท้อง ท้องอืด อ่อนเพลีย ทานข้าวได้น้อย เจ็บชายโครงขวา
ปรึกษาฟรี! โทรเลย 098-264-2464

ขอขอบคุณข้อมูลจาก:
Bumrungrad International Hospital
(https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/july-2015/fatty-liver-silent-killer)
โรงพยาบาลรามคำแหง – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางครบทุกสาขา (https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/186)

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือโทรสั่งซื้อสินค้า

ใส่ความเห็น