ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ เมื่อมีอายุเข้าสู่วัย 50 ปี ร่างกายเริ่มเสื่อมถอย ทำให้โรคภัยต่างๆ เริ่มรุมเร้า โดยโรคส่วนใหญ่ที่มักเกิดขึ้นคือ โรคอ้วน, เบาหวาน, ไขมันในเลือดสูง, ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
ซึ่งภาวะเหล่านี้หากไม่รักษา หรือดูแลให้ดี สามารถแทรกซ้อนกลายเป็น “ไขมันพอกตับ” ได้ ซึ่งภาวะไขมันพอกตับ (Fatty Liver) เป็นภาวะที่มีการสะสมของไขมัน ส่วนใหญ่สะสมอยู่ในรูปของ Triglyceride ในเซลล์ตับ คือการที่มีปริมาณน้ำตาลส่วนเกินในร่างกายมากเกินความต้องการ จนตับนำไปสร้างเป็นไขมัน จะเห็นได้ว่าภาวะไขมันพอกตับเกี่ยวข้องกับระบบน้ำตาล และการเผาผลาญพลังงาน
ที่อันตรายกว่านั้นคือ เมื่อเป็นไขมันพอกตับแล้ว ทางการแพทย์ยังไร้ยารักษา หากไม่ใส่ใจสุขภาพให้ดี จาก “ไขมันพอกตับ” สามารถพัฒนาเป็น “ตับแข็ง” และร้ายแรงถึงขั้น “มะเร็งตับ” ได้
ภาวะอ้วน, เบาหวาน, ไขมันในเลือดสูง, ความดันโลหิตสูง เกี่ยวข้องกับ “ไขมันพอกตับ” อย่างไร?
1.ภาวะอ้วน คือ ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมของไขมันมากเกินกว่าที่ร่างกายจะเผาผลาญได้หมด จึงสะสมพลังงานที่เหลือเอาไว้ในรูปของไขมันตามอวัยวะ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ รวมถึง ไขมันพอกตับ
2.เบาหวาน คือ ภาวะที่ร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) หรือการดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้กระบวนการดูดซึมน้ำตาลในเลือด และเปลี่ยนเป็นพลังงานของเซลล์ในร่างกายมีความผิดปกติ ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนเกิดน้ำตาลสะสมในเลือดปริมาณมาก และทรงผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคไต โรคหัวใจ รวมถึง “ไขมันพอกตับ” เป็นต้น
3.ความดันโลหิตสูง คือ ภาวะที่ตรวจพบว่ามีความดันโลหิตอยู่ในระดับสูงผิดปกติ ซึ่งมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท ความดันโลหิตสูงอาจไม่แสดงอาการ แต่จะเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ไตวาย รวมไปถึง ภาวะเมตาบอลิกซินโดรม หรือภาวะที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญพลังงาน ซึ่งเมื่อการเผาผลาญพลังงานผิดปกติจึงก่อให้เกิด “ไขมันพอกตับ” ได้
4.ไขมันในเลือดสูง คือ ภาวะที่ร่างกายมีไขมันในเลือดมากกว่าปกติ ไขมันที่สูงนั้นอาจเป็นคอเลสเตอรอล (Cholesterol) หรือ ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ภาวะไขมันในเส้นเลือดสูง เรียกว่า Hyperlipidemia เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมากมาย เช่น ไขมันพอกตับ โรคหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เส้นเลือดตีบอุดตันซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้
เพราะฉะนั้นผู้ป่วยที่เป็นภาวะอ้วน, เบาหวาน, ไขมันในเลือดสูง, ความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นภาวะที่เกี่ยวกับระบบน้ำตาล และการเผาผลาญ จึงเสี่ยงต่อการเป็นไขมันพอกตับได้ง่าย ดังนั้นใครที่มีภาวะที่กล่าวมา ควรรีบใส่ใจและป้องกันภาวะแทรกซ้อน ก่อนกลายเป็นไขมันพอกตับ เช่น
1.ลดปริมาณอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง
2.ลดของทอดของมัน หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว
3.ความคุมน้ำหนัก และระดับน้ำตาล ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
4.งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์
5.งดการสูบบุหรี่
6.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น วิ่งเหยาะ ๆ เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ อย่างน้อยวันละ 30 – 45 นาที สัปดาห์ละ 3 – 5 ครั้ง
7.เลือกทานอาหารและสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย, ตับ และระบบทางเดินอาหาร เช่น
เห็ดหลินจือ, เห็ดชิตาเกะ : เสริมภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงตับแข็ง มะเร็ง และไวรัส
อาร์ติโช๊ค, แดนดิไลออน : เสริมการทำงานของตับ การไหลเวียนและการสร้างน้ำดี
ขมิ้น, โสมไซบีเรีย, โสมเกาหลี : ดีท็อกซ์ Cholesterol ในตับ คุมระดับน้ำตาลและความดัน เป็นต้น
“ลิฟพลัส” มีสารสกัดธรรมชาติ ถึง 12 ชนิด เช่น อาร์ติโช๊ค แดนดิไลออน ขมิ้น โสมเกาหลี เป็นต้น กระตุ้นการสร้างน้ำดีในการช่วยย่อย ให้ตับและระบบทางเดินอาหารกลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ สนใจสอบถาม โทร : 098-264-2464 หรือ LINE : @livplusthailand หรือคลิก >> http://bit.ly/LINE-LIV_031
ข้อมูลอ้างอิง
Medpark Hospital : https://bit.ly/3FglN1r
Bangkok Hospital : https://bit.ly/3AVmA5f
Pobpad : https://bit.ly/3gKLM7x
โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ : https://bit.ly/3XNqV47
โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ : https://bit.ly/3GX2rzr
Bumrungrad International Hospital https://bit.ly/3VqKcag
Paolo Hospital : https://bit.ly/3ucRwtP
VIBHARAM HOSPITAL : https://bit.ly/3VqKq16