Table of Contents
ตับเป็นอวัยวะภายในร่างกายที่มักถูกมองข้ามและไม่ได้รับการใส่ใจดูแล ซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็เกิดความเสียหายจนส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกายไปเสียแล้ว ดังนั้นเราจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของตับ โดยเฉพาะภาวะไขมันพอกตับว่าเกิดจากอะไร เพื่อสร้างความตระหนักรู้และเห็นถึงความสำคัญของการดูแลตับอย่างถูกวิธี
ตับกับการทำงานในร่างกาย
ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดภายในร่างกาย มีหน้าที่สำคัญหลายประการ ได้แก่
- การสร้างและสะสมพลังงาน ในรูปของไกลโคเจน เพื่อปล่อยออกมาเมื่อร่างกายต้องการพลังงาน
- การผลิตน้ำดี เพื่อช่วยย่อยและดูดซึมไขมันและวิตามินที่ละลายในไขมัน
- การกำจัดสารพิษ ทำหน้าที่กรองของเสียและสารอันตรายออกจากเลือด
- การสังเคราะห์โปรตีน สำหรับการแข็งตัวของเลือดและการรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย
ไขมันพอกตับคืออะไร เกิดจากอะไร ?
กลไกการสะสมไขมันในตับ
ไขมันพอกตับเกิดจากอะไร ? คือคำถามที่หลายคนสงสัย ที่จริงแล้วไขมันพอกตับคือภาวะที่มีการสะสมของไขมันในเซลล์ตับมากกว่า 5-10% ของน้ำหนักตับ เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างการนำเข้าและการใช้ไขมัน เมื่อตับไม่สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินได้ทัน จึงเกิดการสะสมและนำไปสู่การอักเสบของเซลล์ตับ
ประเภทของไขมันพอกตับ
ไขมันพอกตับแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก คือ
- ไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ (AFLD) เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์มากและต่อเนื่อง
- ไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD) เกิดจากสาเหตุอื่น เช่น การกินอาหารที่ไม่เหมาะสม โรคอ้วน หรือโรคเมตาบอลิก
ระดับความรุนแรงของโรค
ระดับที่ 1 : มีไขมันสะสมแต่ยังไม่มีการอักเสบ สามารถฟื้นฟูได้
ระดับที่ 2 : เริ่มมีการอักเสบของเซลล์ตับ (NASH)
ระดับที่ 3 : เกิดพังผืดในตับและเริ่มมีการเสื่อมของเซลล์ตับ
ระดับที่ 4 : ตับแข็ง เป็นภาวะรุนแรงที่ตับเสียหายอย่างถาวร
การวินิจฉัยและอาการของไขมันพอกตับ
การตรวจวัดค่าเอนไซม์ตับ
ไขมันพอกตับดูจากค่าอะไร ? เป็นคำถามสำคัญสำหรับผู้ที่สงสัยว่าตนเองมีภาวะนี้หรือไม่ โดยทั่วไปแพทย์จะดูจากค่าเหล่านี้
- ค่าเอนไซม์ตับ (Liver enzymes) เช่น ALT, AST ที่สูงผิดปกติ
- การตรวจอัลตราซาวนด์ ที่พบไขมันสะสมในเนื้อตับ
- ค่า Gamma GT ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในรายที่เกิดจากแอลกอฮอล์
- การตรวจชิ้นเนื้อตับ ในกรณีที่ต้องการวินิจฉัยแยกโรคหรือประเมินความรุนแรง
อาการที่พบได้เมื่อมีไขมันพอกตับ
แม้ในระยะแรกไขมันพอกตับจะไม่แสดงอาการ แต่ไขมันพอกตับมีอาการที่สังเกตได้เมื่อโรคดำเนินไประยะหนึ่ง ดังนี้
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย แม้ทำกิจกรรมเพียงเล็กน้อย
- ปวดแน่นบริเวณชายโครงด้านขวา จากตับที่มีขนาดโตขึ้น
- ท้องอืด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย
- ผิวหนังและตาเหลือง ในกรณีที่มีการอักเสบรุนแรง
- น้ำหนักลด โดยไม่ทราบสาเหตุ
สาเหตุของการเกิดไขมันพอกตับ
พฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์
การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม
อาหารที่มีน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตสูง โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตสในเครื่องดื่มที่มีรสหวาน จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันในตับ รวมถึงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์สูงก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไขมันพอกตับเช่นกัน
โรคอ้วนและภาวะน้ำหนักเกิน
ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน โดยเฉพาะอ้วนลงพุง มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดไขมันพอกตับ เนื่องจากไขมันส่วนเกินในร่างกายจะถูกส่งไปเก็บไว้ที่ตับ ทำให้เกิดการสะสมและอักเสบได้
โรคที่เกี่ยวข้อง เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ส่งผลให้มีการสะสมของไขมันในตับ ส่วนภาวะไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์สูง และกลุ่มอาการเมตาบอลิกล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไขมันพอกตับทั้งสิ้น
อันตรายจากภาวะไขมันพอกตับ
การอักเสบของตับ
เมื่อมีไขมันสะสมมากเกินไป จะเกิดการอักเสบของเซลล์ตับ นำไปสู่ภาวะตับอักเสบ ซึ่งทำให้การทำงานของตับเสื่อมลง
ภาวะตับแข็ง
การอักเสบเรื้อรังทำให้เกิดพังผืดในตับ เมื่อพังผืดแพร่กระจายมากขึ้น จะเกิดภาวะตับแข็ง ซึ่งเป็นความเสียหายถาวร ส่งผลให้เกิดความดันในหลอดเลือดดำพอร์ทัลสูง และการทำงานของตับล้มเหลว
ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ
ผู้ที่มีภาวะตับแข็งจากไขมันพอกตับมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งตับ ซึ่งเป็นมะเร็งที่มีอัตราการรอดชีวิตต่ำและรักษาได้ยาก
ผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม
ไขมันพอกตับยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน เนื่องจากตับไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีป้องกันและดูแลตัวเองให้ห่างจากไขมันพอกตับ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยป้องกันภาวะไขมันพอกตับ โดยควรลดอาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง หลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ เพิ่มผักและผลไม้ที่มีใยอาหารสูง รวมถึงเลือกบริโภคโปรตีนคุณภาพดี เช่น ปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และงดหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์
ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
การออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ทั้งแบบคาร์ดิโอ (เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ) และการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ จะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและกระตุ้นการเผาผลาญซึ่งลดโอกาสเกิดไขมันพอกตับได้
พักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอและมีคุณภาพ สามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายและตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการอดนอนหรือนอนไม่พออาจส่งผลให้เกิดการอักเสบและรบกวนการทำงานของฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหาร
การตรวจสุขภาพประจำปี
ควรตรวจสุขภาพประจำปีเป็นประจำ โดยเฉพาะการตรวจการทำงานของตับ เพื่อติดตามสุขภาพและหากพบความผิดปกติตั้งแต่ระยะแรก จะง่ายต่อการรักษาและฟื้นฟูได้ดีกว่า
การดูแลตับไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและเลือกสิ่งที่ดีให้กับตับ หากคุณกำลังกังวลเกี่ยวกับสุขภาพตับ Livplus พร้อมเป็นตัวช่วยด้วยผลิตภัณฑ์วิตามินบำรุงตับที่พัฒนาจากสารสกัดธรรมชาติ 100% ผ่านการวิจัยและพิสูจน์ประสิทธิภาพในการฟื้นฟูการทำงานของตับและระบบทางเดินอาหาร เริ่มต้นดูแลตับของคุณได้แล้ววันนี้ สั่งซื้อผลิตภัณฑ์ได้ที่หน้าเว็บไซต์ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Livplusthailand หรือ Line OA: @Livplusthailand
ข้อมูลอ้างอิง
- ไขมันพอกตับ. สืบค้นเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 จาก https://www.bumrungrad.com/th/conditions/fatty-liver-disease
- ไขมันพอกตับ ภัยเงียบที่คุณอาจไม่รู้ตัว. สืบค้นเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 จาก https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/fatty-liver-disease