Table of Contents
ถุงน้ำดีเป็นอวัยวะที่ช่วยกักเก็บน้ำดีไว้ใช้ย่อยไขมัน แต่สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องตัดถุงน้ำดีออก ควรต้องรู้ถึงวิธีการดูแลตัวเองเมื่อไม่มีถุงน้ำดี เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ และมีคุณภาพความเป็นอยู่อย่างดีที่สุด
อาการของร่างกายเมื่อไม่มีถุงน้ำดี
ถุงน้ำดีทำหน้าที่กักเก็บน้ำดีที่สร้างมาจากตับ เมื่ออาหารตกสู่กระเพาะอาหารแล้ว ถุงน้ำดีจะบีบไล่น้ำดีออกมาเพื่อย่อยอาหารที่เป็นไขมัน แต่ถ้าหากถุงน้ำดีถูกตัดออกไป ตับก็จะปล่อยน้ำดีลงกระเพาะโดยตรง ไม่ได้ผ่านการกักเก็บ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ ได้แก่
ระบบย่อยไขมันทำงานได้ช้าลง
เมื่อไม่มีถุงน้ำดีคอยควบคุมการปล่อยน้ำดี จะทำให้น้ำดีที่ผลิตจากตับถูกปล่อยเข้าสู่ลำไส้โดยตรงในปริมาณน้อยและต่อเนื่อง ระบบย่อยอาหารจึงทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้ย่อยไขมันได้ไม่สมบูรณ์
ท้องอืด ท้องเฟ้อ
หลังการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงหรือย่อยยาก จะทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และแน่นท้อง ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปร่างกายจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับการไม่มีถุงน้ำดีได้ในที่สุด
ดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน
น้ำดีทำหน้าที่สลายไขมันให้แตกตัวเป็นหยดเล็ก ๆ และไขมันจะไปช่วยละลายวิตามินต่าง ๆ เช่น วิตามิน A, D, E, K เพื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าน้ำดีย่อยสลายไขมันได้น้อยลง จะส่งผลต่อการสลายวิตามินเหล่านี้เช่นกัน ร่างกายก็จะได้รับวิตามินลดน้อยลงตามไปด้วย
วิธีการดูแลตัวเองเมื่อไม่มีถุงน้ำดี เพื่อสุขภาพที่ดี
สำหรับการดูแลตัวเองเมื่อไม่มีถุงน้ำดี สามารถทำได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังนี้
ควบคุมปริมาณไขมันในแต่ละมื้อ
หลังการผ่าตัดถุงน้ำดี ควรค่อย ๆ ปรับการรับประทานอาหาร โดยเน้นอาหารที่ย่อยง่าย มีไขมันต่ำ และควรแบ่งเป็นมื้อเล็ก ๆ หลายมื้อ เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับตัวและช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ อาหารที่ควรรับประทาน สำหรับคนที่ไม่มีถุงน้ำดี ควรเน้นไปที่อาหารที่มีไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา หรือไขมันจากปลาทะเลลึก รวมถึงเนื้อปลา และเมล็ดธัญพืช
ดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 แก้ว จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ทั้งยังช่วยให้ลำไส้ดูดซึมสารอาหารได้ดียิ่งขึ้น
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ และป้องกันอาการท้องอืด ท้องผูก โดยควรออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดิน โยคะ หรือปั่นจักรยาน ประมาณ 30-45 นาที อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์
หลีกเลี่ยงความเครียด
ความเครียดสามารถทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานผิดปกติ จึงควรหาวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น การฝึกสมาธิ การหายใจลึก ๆ หรือทำกิจกรรมที่สร้างความเพลิดเพลิน อย่างการฟังเพลง อ่านหนังสือ
ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
เมื่อผ่าตัดถุงน้ำดีออกไปแล้ว ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตามคำแนะนำของแพทย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามการทำงานของตับและค่าไขมันในเลือด รวมถึงค่าวิตามินที่ละลายในไขมัน เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายยังคงได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างเพียงพอ
ไม่มีถุงน้ำดี ห้ามกินอะไร ?
อีกหนึ่งวิธีการดูแลตัวเองเมื่อไม่มีถุงน้ำดีที่ดีที่สุด คือการหลีกเลี่ยงอาหารประเภทต่าง ๆ เหล่านี้
- อาหารที่มีไขมันสูงและย่อยยาก เช่น อาหารทอด หนังสัตว์ เนื้อสัตว์ติดมัน เบคอน ไส้กรอก อาหารฟาสต์ฟู้ด
- ผลิตภัณฑ์จากนม ครีม เนย ชีส และไอศกรีม เนื่องจากมีไขมันสูง
- เครื่องดื่มและอาหารที่กระตุ้นอาการท้องอืด เช่น กาแฟ ชาเข้ม น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงอาหารรสจัด เผ็ดจัด หรืออาหารที่มีแก๊สสูง เช่น ถั่ว หัวหอม กะหล่ำปลี ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
Livplus อาหารเสริมบำรุงตับ เสริมสร้างระบบทางเดินอาหารให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ดูแลสุขภาพตับให้แข็งแรง เพื่อทำหน้าที่ผลิตน้ำดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับช่วยลดอาการข้างเคียงเมื่อไม่มีถุงน้ำดี ด้วยอาหารเสริมบำรุงตับ Livplus ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ 100% พิสูจน์แล้วจากงานวิจัยว่ามีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูและบำรุงตับ รวมถึงระบบทางเดินทางอาหาร ระบบประสาทและสมอง สามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ได้แล้ววันนี้ที่หน้าเว็บไซต์ หรือทักแชตมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Livplusthailand หรือ Line OA: @ Livplusthailand
ข้อมูลอ้างอิง
- Can You Live Without a Gallbladder?. สืบค้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 จาก https://www.healthline.com/health/can-you-live-without-a-gallbladder