You are currently viewing ปวดท้องตรงไหนบอกอะไร ? เช็กตำแหน่งและความเสี่ยงโรค

ปวดท้องตรงไหนบอกอะไร ? เช็กตำแหน่งและความเสี่ยงโรค

Table of Contents

อาการปวดท้องเป็นภาวะที่ทำให้หลายคนรู้สึกกังวลใจ ยิ่งถ้าเกิดบ่อย ๆ ยิ่งต้องใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ การได้รู้ว่าตำแหน่งปวดท้องที่กำลังเป็นอยู่เกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพในเรื่องใด จะช่วยให้เราเตรียมพร้อมรับมือ หรือเข้าไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างทันท่วงที

ตำแหน่งปวดท้องบอกอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ

9 ตำแหน่งปวดท้องตรงไหนบอกอะไร ?

ในแต่ละตำแหน่งปวดท้อง เป็นสัญญาณของอาการเจ็บป่วยที่แตกต่างกันออกไป แบ่งได้ดังนี้ 

ตำแหน่งที่ 1 ปวดบริเวณใต้ชายโครงขวา

อาการปวดบริเวณใต้ชายโครงขวา กดแล้วเป็นก้อนแข็ง ๆ และมีอาการตัวเหลืองร่วมด้วย เสี่ยงที่จะมีภาวะความบกพร่องของตับและถุงน้ำดี

ตำแหน่งที่ 2 ปวดบริเวณใต้ลิ้นปี่

อาการปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่ สามารถบ่งบอกความเสี่ยงของโรคได้หลากหลาย ซึ่งแบ่งได้ดังนี้

  • หากมีอาการปวดร่วมกับเจ็บหรือแน่นหน้าอก อาจเป็นโรคหัวใจขาดเลือด
  • หากมีอาการปวดเป็นประจำเมื่อหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร
  • หากปวดรุนแรงหรือมีอาการอาเจียนร่วมด้วย อาจเป็นภาวะตับอ่อนอักเสบ
  • หากคลำเจอก้อนเนื้อขนาดใหญ่และแข็ง เสี่ยงมีภาวะตับโต
  • หากมีอาการท้องอืดแน่น เป็น ๆ หาย ๆ เป็นเวลานาน อาจเป็นนิ่วในถุงน้ำดี

ตำแหน่งที่ 3 ปวดบริเวณชายโครงซ้าย

ตำแหน่งนี้คือบริเวณที่ตั้งของม้าม หากมีอาการปวดบริเวณนี้ อาจเป็นสัญญาณเสี่ยงของภาวะม้ามโต ควรต้องรีบพบแพทย์อย่างเร่งด่วน

ตำแหน่งที่ 4 และ 6 ปวดบริเวณบั้นเอวขวาหรือบั้นเอวซ้าย

หากปวดบริเวณนี้มักเกี่ยวข้องกับปัญหาของไตและท่อได ซึ่งสามารถแบ่งอาการได้ดังนี้

  • หากมีอาการปวดเอว ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย มีเลือดปนในปัสสาวะ ร่วมกับอาการปวดร้าวไปถึงต้นขา อาจเกิดภาวะเป็นนิ่วในไต
  • หากมีอาการปวด ร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น เสี่ยงเป็นกรวยไตอักเสบ

ตำแหน่งที่ 5 ปวดบริเวณรอบสะดือ

การปวดบริเวณนี้อาจเกิดจากอาหารเป็นพิษ หรือโรคกระเพาะและลำไส้ต่าง ๆ รวมถึงยังเป็นสัญญาณแรกของโรคไส้ติ่งอักเสบ โดยผู้ป่วยมักมีอาการปวดบริเวณรอบสะดือก่อนที่อาการจะย้ายไปที่ท้องน้อยด้านขวา

ผู้หญิงมีตำแหน่งปวดท้องบริเวณท้องน้อยขวา

ตำแหน่งที่ 7 ปวดบริเวณท้องน้อยขวา

อาการปวดบริเวณนี้มักบ่งบอกความผิดปกติบริเวณไส้ติ่ง ท่อไต ปากมดลูก และรังไข่ โดยสามารถแบ่งแต่ละอาการได้ดังนี้

  • หากมีอาการปวดเกร็งเป็นระยะ ๆ ร้าวมาที่ต้นขา เสี่ยงเป็นกรวยไตอักเสบหรือนิ่วในไต
  • หากมีอาการปวดเสียด บีบตลอดเวลา กดแล้วเจ็บ เป็นสัญญาณของไส้ติ่งอักเสบ
  • หากมีอาการตกขาว ไข้สูง อาจเป็นภาวะของปีกมดลูกอักเสบ
  • หากคลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาจเกิดจากภาวะรังไข่ผิดปกติ

ตำแหน่งที่ 8 ปวดบริเวณท้องน้อยตรงกลาง

การปวดบริเวณนี้อาจเกิดจากความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะและมดลูก ซึ่งในแต่ละอาการอาจบ่งบอกถึงภาวะเหล่านี้ 

  • หากมีอาการปัสสาวะกะปริดกะปรอย อาจเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
  • หากมีอาการปวดท้องน้อย มีไข้สูง ตกขาวมีกลิ่นเหม็น อาจเป็นมดลูกอักเสบ
  • หากมีอาการปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน ปวดท้องเรื้อรัง อาจเป็นสัญญาณว่ามดลูกมีปัญหา

ตำแหน่งที่ 9 ปวดบริเวณท้องน้อยซ้าย

อาการปวดท้องในบริเวณนี้ เป็นสัญญาณของการเกิดโรคได้อย่างหลากหลาย ดังนี้

  • หากมีอาการปวดเกร็งเป็นระยะ ๆ ร้าวมาที่ต้นขา อาจบ่งชี้ว่าเป็นนิ่วในท่อไต
  • หากมีอาการปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น และมีตกขาว อาจเกิดจากภาวะมดลูกอักเสบ
  • หากมีอาการปวด ร่วมกับการถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเกิดจากโรคลำไส้ใหญ่  
  • หากคลำพบก้อนเนื้อ ร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ หรืออุจจาระมีมูกเลือดปน สลับกับท้องเสีย อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้

อาการปวดท้องที่ต้องรีบไปพบแพทย์

สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าอาการปวดท้องลักษณะนี้ ต้องรีบไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน มีดังนี้ 

  • ปวดนานมากกว่า 6 ชั่วโมง 
  • ปวดจนรับประทานอาหารไม่ได้ 
  • ปวดจนอาเจียน 
  • ปวดมากขึ้นเมื่อขยับตัว  
  • ปวดร่วมกับมีเลือดออกทางช่องคลอด 
  • ปวดท้องและมีไข้ร่วมด้วย

ปวดชายโครงขวา เสี่ยงไขมันพอกตับ ฟื้นฟูแลดูแลด้วย Livplus อาหารเสริมบำรุงตับ

สำหรับคนที่มีอาการปวดชายโครงขวา อาจเป็นสัญญาณของโรคเกี่ยวกับตับ ดังนั้นก่อนที่จะลุกลามจนร้ายแรง มาเริ่มต้นดูแลตับโดยการเลือกรับประทานอาหารที่ดี และเสริมด้วย Livplus เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการฟื้นฟูตับ สั่งซื้อผลิตภัณฑ์ได้ที่หน้าเว็บไซต์ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลตับและผลิตภัณฑ์ได้ที่  Facebook: Livplusthailand หรือ Line OA: @Livplusthailand

ข้อมูลอ้างอิง

ความรู้เรื่องตับ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือโทรสั่งซื้อสินค้า

ใส่ความเห็น